วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การละเล่นภาคใต้

ลูกลม (กังหันลม)


ชื่อ ลูกลม (กังหันลม)
    ภาค ภาคใต้
    จังหวัด    ตรัง
    (อ่านว่า ลูก-ลม)
     อุปกรณ์และวิธีการเล่น
   อุปกรณ์
       ๑. ใบลูกลม ใช้ใบมะพร้าว หรือกาบหมาก หรือใบเตย เลือกชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วเฉือนใบให้ได้ขนาดกว้าง ๐.๕ นิ้ว ยาว ๔ นิ้ว บิดปลายทั้งสองให้เฉเล็กน้อยไปคนละทาง ตรงกลางใบลูกลมทำรูไว้เสียบหลอดสำหรับสวมเดือย
       ๒. หลอดลูกลม อยู่ตรงกลางของใบลูกลม สำหรับใส่ไม้ลูกลม และต้องหลวมเพื่อให้ใบลูกลมหมุนได้สะดวก
       ๓. ไม้ลูกลม ใช้สวมลงในเดือยให้ตั้งฉาก
       ๔. หางลูกลม นิยมทำด้วยทางระกำทั้งใบ ผูกติดกับไม้ลูกลม
       ๕. ลูกร้อง ใส่ลูกร้องตรงปลายใบลูกลมทั้ง ๒ ข้าง ลูกร้องทำด้วยไม้ไผ่มีรูที่เนื้อไม้บางที่สุด ตกแต่งปากลูกร้องด้วยชัน

    วิธีการเล่น
       หลังจากประกอบทำลูกลมเสร็จแล้ว จะนำลูกลมไปเสียบผูกไว้บนยอดไม้สูง ๆ เพื่อให้รับลมได้เต็มที่ ลูกลมจะหมุนและส่งเสียงร้องได้ยินไปไกล บางครั้งมีการแข่งขันการวิ่งลูกลมโดยถือลูกลมวิ่งฟังเสียงดูว่าลูกลมอันไหนเสียงดังไพเราะ ลูกลมที่ถือว่าเสียงดีไพเราะจะต้องมีเสียงกลมและมีใยเสียง

    โอกาสและเวลาที่เล่น
         ชาวบ้านนิยมเล่นลูกลม หลังจากเก็บข้าวเสร็จแล้ว ในฤดูร้อนเพราะว่างจากการทำงาน พื้นดินแห้งสนิท ลมกำลังดี เหมาะแก่การเล่นลูกลมมาก

     คุณค่า
         การเล่นลูกลมเป็นการพักผ่อนนันทนาการแบบหนึ่งของชาวชนบท โดยคิดค้นวิธีการทำลูกลมให้คงทนและเสียงไพเราะ ทำให้ได้ใช้ความคิดประดิษฐ์ลูกลมแบบต่าง ๆ ที่สวยงามและใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน โดยเฉพาะการวิ่งลูกลมเป็นกีฬาการออกกำลังกายได้ทั้งความสนุกสนานและความสามัคคี

โนราแขก

ชื่อ โนราแขก
     ภาค ภาคใต้
     จังหวัด นราธิวาส

       อุปกรณ์และวิธีการเล่น
          ๑. ดนตรี มีดังนี้คือ กลอง ๒ ใบ ทับ ๑ คู่ ทน (กลองแขก) ๒ ใบ ฆ้อง ๑ คู่ นอกจากนี้มีโหม่ง ปี่ชวา ซอ รือบะ แสะ (แตระ) และฉิ่ง
          ๒. เครื่องแต่งตัว คล้ายกับโนราทั่วไป แต่การนุ่งผ้าจะไว้หางหงส์ยาวกว่า เครื่องประดับร่างกายประกอบด้วยลูกปัด ปิดไหล่ สายสังวาล ทับทรวง ปีกนก ปิเหน่ง (ปิ้นเหน่ง) ปีก (หางหงส์) ผ้าห้อย กำไลต้นแขน กำไลปลายแขน เล็บ ผ้าผูกคอ และเทริด (เทริดนิยมห้อยอุบะด้วย)
          ๓. ธรรมเนียมนิยมในการแสดง โนราแขกจะมีลักษณะประสมประสานระหว่างโนรากับมะโย่ง ดนตรีที่ใช้ ใช้ดนตรีโนราและดนตรีมะโย่งผสมกัน การขับบทก็คล้ายกับการร้องของมะโย่ง โดยเฉพาะบทขับต่าง ๆ ที่ขับโต้ตอบระหว่างพ่อโนรากับนางโนรานั้นเรียกว่าเพลง เช่น เพลาร่ายแตระ เพลาเดิน เพลาฉันทับหรือเพลาทน เพลาฆ้อง เพลาฉิ่ง เป็นต้น แต่ก่อนที่จะขับบทร้องแสดงเรื่องนั้น จะมีการว่าบทกาศครูเช่นเดียวกับโนราทั่วไป การแสดงเรื่องสมัยก่อนนิยมแสดงเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เรื่องจากวรรณคดี ต่อมาแสดงอย่างละครสมัยใหม่ แต่ถ้าเล่น…..จะต้องเล่นร้องพระสุธนมโนราห์
           ลำดับการแสดงของโนราแรก เริ่มด้วยดนตรีโหมโรงพ่อโนราว่าบทกาศครู จากนั้นก็เริ่มแต่งตัว ขณะแต่งตัวเมื่อนุ่งผ้านุ่งผ้าใส่ปีกเสร็จแล้วจะนั่งว่าบท เป็นบทร่าาแตระไปพร้อมกับใส่เครื่องประดับอื่น ๆ เช่น กำไลต้นแขน ปลายแขน เล็บและเทริด เป็นต้น เมื่อแต่งตัวเสร็จพ่อโนราจะลุกขึ้นรำโดยมีนางโนรา ๑ คู่ รำตามหลัง การรำนี้จะไม่รำเป็นท่าแบบโนราทั่วไป แต่จะรำเป็นเพลงมีการรำเคล้ารำบทกับนางรำ สลับการรำบท มีการ "ทำบท" แบบโนราทั่วไป เช่น บทผัดหน้า บทสีไต เป็นต้น โดยมีนางโนราทั้ง ๒ คน ร้องรับและโต้ตอบ ลักษณะของบทหรือเพลาที่ร้อง เมื่อพ่อโนรานั่งว่าบท นางโนราทั้งสองจะนั่งหมอบอยู่ด้านหน้า ถ้าพ่อโนราเรียกจะขานรับ เช่น ขานว่า "ยอละแบะเร" เป็นต้น การร้องโต้ตอบกันนั้น ถ้าเป็นโนราที่เป็นคนไทยล้วนจะร้องโต้ตอบกันเป็นภาษาไทยบ้าง มลายูบ้าง เมื่อร้องทำบทหรือเพลาเสร็จจะเป็นการแสดงเรื่องต่อไป
เรื่องที่แสดงเป็นเรื่องจากวรรณคดีไทยประเภทจักร ๆ วงศ์ ๆ เช่น วรวงศ์ พระสุธนมโนราห์ ไกรทอง สังข์ทอง เป็นต้น โนราแขกเดิมผู้เล่นเป็นชายล้วนแสดงเป็น "พ่อโนรา" (โนราใหญ่) และนางโนรา ต่อมาภายหลังพ่อโนราเป็นชายและนางโนราเป็นหญิง

      โอกาสหรือเวลาที่เล่น
           โนราแขกแสดงได้ทุกงาน ทั้งงานบุญกุศลงานประชัน และงานแก้บน (แก้เหมรย) เช่น งานแต่งงาน งานบวชนาค งานเข้าสุนัต แต่เมื่อมีการพัฒนาการเล่นแบบโบราณมาเล่นดนตรี และแสดงเรื่องอย่างละครสมัยใหม่ ทำให้ธรรมเนียมการแสดงเปลี่ยนไปหมด คือเริ่มการเล่นดนตรีแบบสากลร้องเพลงมลายูและเพลงอินเดีย ต่อด้วยการแสดงแบบละครสมัยใหม่ ปัจจุบันถ้าจะดูโนราแขกจริง ๆ ก็จะดูได้ในโอกาสงานแก้บนและงานไหว้ครูโนราเท่านั้น

      สาระ
           โนราแขกเป็นการละเล่นพื้นบ้านของจังหวัดนราธิวาส โนราแขกจะมีลักษะประสานระหว่างโนรากับมะโย่ง ดนตรีที่ใช้ ใช้ดนตรีโนราและดนตรีมะโย่งผสมกัน เป็นการแสดงที่ให้ความสนุกสนาน เรื่องที่จะแสดงเป็นเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เรื่องจากวรรณคดี โนราแขกจะแสดงได้ทุกงาน ทั้งงานบุญงานกุศล งานประชันและงานแก้บน (แก้เหมรย)

ร็องแง็ง

 ชื่อ ร็องแง็ง
       ภาค ภาคใต้
       จังหวัด ปัตตานี
          อุปกรณ์และวิธีการเล่น
              เครื่องดนตรีประกอบการเล่นร็องแง็งมี รำมะนา ฆ้อง ไวโอลิน เดิมมีเพียง ๓ อย่าง ต่อมาเพิ่มกีต้าร์ การเล่นร็องแง็ง เดิมนิยมเต้นกันในหมู่บ้านขุนนางไทยมุสลิม และแพร่หลายมาสู่ชาวบ้าน โดยอาศัยการแสดงมะโย่ง ร็องแง็งจะเต้นช่วงพักการแสดงมะโย่ง ซึ่งจะพัก ๑๐ - ๑๕ นาที เมื่อดนตรีร็องแง็งขึ้น ฝ่ายหญิงที่แสดงมะโย่งจะลุกขึ้นเต้นจับคู่กันเองและเพื่อให้เกิดความสนุกสนานยิ่งขึ้นจึงได้เชิญผู้ชายซึ่งเป็นผู้ชมเข้ามาร่วมวงด้วย ต่อมามีการจัดตั้งคณะร็องแง็งแยกต่างหากจากมะโย่ง
ปัจจุบันการเต้นร็องแง็ง ผู้เต้นประกอบด้วยชาย - หญิงฝ่ายละ ๕ คน โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถวหนึ่ง หญิงแถวหนึ่ง ยืนห่างกันพอสมควร ความสวยงามของการเต้นร็องแง็งอยู่ที่ลีลาการเคลื่อนไหวของเท้า มือ ลำตัวและลีลาการร่ายรำ ตลอดจนการแต่งกายของคู่ชาย – หญิงและความไพเราะของเสียงดนตรี

         โอกาสหรือเวลาที่เล่น
              เดิมร็องแง็งแสดงในการต้อนรับแขกเมืองในงานพิธีต่าง ๆ ต่อมานิยมแสดงในงานรื่นเริง เช่น งานประจำปี ฯลฯ

         คุณค่า/แนวคิด/สาระ
               ร็องแง็งเป็นศิลปะชั้นสูงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยทั้งการแต่งกาย ดนตรีและลีลาของเพลงที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความบันเทิงสนุกสนานแก่ผู้เต้นและผู้ชมด้วย

กรือโต๊ะ

ชื่อ กรือโต๊ะ
         ภาค  ภาคใต้
         จังหวัด นราธิวาส
   อุปกรณ์และวิธีการเล่น
                 กรือโต๊ะ เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งของชาวไทยมุสลิม แหล่งที่นิยมเล่นกันมาก คือ แถบอำเภอแว้ง อำเภอสุไหงปาดี และอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
อุปกรณ์ในการละเล่นกรือโต๊ะ จะมีกรือโต๊ะซึ่งประกอบด้วย ๓ ส่วนด้วยกัน คือ ตัวกรือโต๊ะ เด๊าว์หรือใบ และไม้ตีตัวกรือโต๊ะ ทำจากไม้เนื้อแข็งที่เรียกว่า "ไม้ตาแป" จะเอาไม้ตาแปมาตากแดดให้แห้งสนิทแล้วนำมาตัดให้ได้ขนาดแล้วใช้สิวขุดให้เป็นหลุม ลักษณะของหลุมที่นิยมคือ หลุมปากแคบ และป่องตรงกลาง ภายนอกจะตกแต่งหรือกลึงอย่างสวยงามมีการทาสี สีที่นิยมทากันคือ สีฟ้า สีขาว สีเหลือง หรือทาน้ำมันชักเงาให้สวยงาม
เด๊าว์ หรือ เรียกว่า ใบ หรือลิ้นเสียง จะทำจากไม้ตาแปที่แห้งสนิทดีเช่นเดียวกับกรือโต๊ะ กรือโต๊ะใบหนึ่ง ๆ มีเด๊าว์ ๓ อัน คือทำเป็นเสียงต่ำ เสียงกลาง และเสียงสูง อย่างละอัน ขนาดของเด๊าว์ยาวประมาณ ๒-๓ ฟุต กว้างประมาณ ๖-๘ นิ้ว ส่วนความยาวตามความชำนาญของผู้ใช้เล่น
ไม้ตี ทำจากไม้เนื้อแข็ง ขนาดของไม้พอจับถือได้ถนัด ยาวประมาณ ๑ ฟุต ปลายด้ามที่ใช้ตี จะพันด้วยเส้นยางพาราเป็นหัวกลมขนาดโตกว่ากำปั้นเล็กน้อย
วิธีการเล่นกรือโต๊ะ จะมีการตีกรือโต๊ะแข่งขันกันว่ากรือโต๊ะของใครจะมีเสียงดังกว่ากันและมีเสียงที่นิ่มนวลกลมกลืนกันและมีความพร้อมเพรียงกันในการตีกรือโต๊ะ

         โอกาสที่เล่นกรือโต๊
                 การเล่นกรือโต๊ะนิยมเล่นกันหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวในนา เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตกราวเดือนกุมภาพันธ์ หรือมีนาคม และนิยมเล่นกันในคืนเดือนหงาย เพราะไม่ร้อนและบรรยากาศ ชวนให้สนุกสนาน ในการแข่งขันกรือโต๊ะถือว่าเป็นวันสำคัญของหมู่บ้าน เพราะในแต่ละหมู่บ้าน หรือตำบลหนึ่งจะมีกรือโต๊ะของหมู่บ้านและตำบลคณะเดียวและถ้าหมู่บ้านหรือตำบลของตนชนะก็มีความภาคภูมิใจที่ได้รับเกียรติแห่งความเป็นผู้ชนะกันทั้งหมู่บ้าน
กรือโต๊ะนอกจากนิยมเล่นกันในฤดูเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ยังนิยมเล่นกันในงานฉลอง ในงานเทศกาล หรือในวันสำคัญอื่น ๆ อีกด้วย

          คุณค่าจากการเล่นกรือโต๊ะ
                  ในการเล่นกรือโต๊ะ จะเป็นการเล่นที่ส่งเสริมความรักความสามัคคีกันของผู้เล่น เพราะถ้าหากผู้เล่นมีความพร้อมเพรียงกันในการตีกรือโต๊ะ ก็จะมีเสียงดังที่นิ่มนวล เข้าจังหวะกัน และทำให้เกิดความสนุกสนาน

ฉับโผง


ชื่อ ฉับโผง
     ภาค ภาคใต้
     จังหวัด กระบี่
         อุปกรณ์และวิธีเล่น
                  ฉับโผง เป็นวัตถุประดิษฐ์ที่เด็กกระบี่ในสมัยก่อนนิยมเล่นกัน วิธีการประดิษฐ์นำไม้ไผ่ขนาดเล็ก มาตัดให้เหลือ ๑ ปล้องมีรูกลวงตรงกลางตลอดลำ (ยาวประมาณ ๑ คืบ) เรียกส่วนนี้ว่า "บอกฉับโผง"จากนั้นนำไม้ไผ่ความยาวประมาณ ๑.๕ คืบมาเกลาให้กลม ขนาดพอที่จะกระทุ้งเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ได้ พร้อมทั้งใช้ไม้ไผ่ขนาดเท่ากระบอกฉับโผงความยาวประมาณ ๐.๕ คืบ สวมโคนไม้ไผ่ส่วนที่ยาวเกินกระบอก ชิ้นส่วนนี้เรียกว่า "ด้ามจับ"
วิธีการเล่น นำลูกพลา (ผลไม้ป่ามีลักษณะผลเป็นช่อคล้ายมะเขือพวงแต่ลูกเล็กกว่า) อัดเข้าไปในกระบอกฉับโผง แล้วมือข้างหนึ่งถือกระบอกมือข้างหนึ่งถือด้ามจับสอดปลายด้ามจับกระทุ้งไปด้านหน้าแรงๆให้แรงอัดดันลูกพลาพุ่งออกไปนอกกระบอก
         โอกาสและเวลาที่เล่น
                 การเล่นฉับโผงไม่จำกัดโอกาสและเวลาที่เล่น สามารถใช้เล่นยิงกันแทนปืนหรือยิงวัตถุที่เป็นเป้าได้ทุกโอกาส
         คุณค่าและแนวคิด
                 การเล่นฉับโผงส่วนใหญ่แล้วนิยมเล่นกันเป็นกลุ่มๆก่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะฝึกความแม่นยำและฝึกความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือและเป็นการฝึกให้เด็กๆได้นำวัสดุจากธรรมชาติมาประดิษฐ์เป็นของเล่น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น